"iPad Air 2 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ iPad ที่บางและเบาที่สุดเท่าที่ Apple เคยทำมา แต่มันทำอะไรได้มากกว่านั้น จากสตูดิโอไปจนถึงห้องเรียน จากทุ่งหญ้าไปถึงโรงรถ มันช่วยให้ผู้คนค้นพบสิ่งใหม่และหนทางที่จะทำในสิ่งที่พวกเขารัก ลองจินตนาการดูกับสิ่งที่คุณจะทำกับมัน"
iPad Air 2
เมื่อช่วงบ่าย 3 โมงที่ผ่านมามีอีเมลล์แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์จากทาง AIS ว่าพร้อมวางจำหน่าย iPad Air 2 และ iPad mini 3 ผ่านเอไอเอสช็อปทั่วประเทศแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (26 พฤศจิกายน 2557)
- แพ็กเกจดาต้าสุดคุ้ม สำหรับลูกค้าเอไอเอส 3G รายเดือนปัจจุบัน เล่นเน็ตไม่อั้น นาน 12 เดือน เริ่มต้นเพียง 350 บาท / เดือน
- สิทธิพิเศษผ่อน 0% นาน 10 เดือน (สำหรับการซื้อเครื่องพร้อมแพ็กเกจ)
26 พฤศจิกายน 2557 – เอไอเอส ประกาศจำหน่าย iPad Air 2 รุ่นที่รองรับ Wi-Fi + Cellular และ iPad mini 3 รุ่นที่รองรับ Wi-Fi + Cellular ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผ่านเอไอเอส ช็อปทั่วประเทศ และร้านเทเลวิซที่ร่วมรายการ โดยทั้ง 2 รุ่นเปิดตัวพร้อมแพ็กเกจดาต้าสุดคุ้ม เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ในการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยี HSPA+ บนเครือข่ายคุณภาพของเอไอเอส
นาย ฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาดและการขายบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “เอไอเอสเชื่อมั่นว่าการเปิดจำหน่ายสุดยอดนวัตกรรมแท็บเล็ตที่คนไทยรอคอย ทั้ง iPad Air 2 รุ่นที่รองรับ Wi-Fi + Cellular และ iPad mini 3 รุ่นที่รองรับ Wi-Fi + Cellular ของเอไอเอสในครั้งนี้ จะสามารถตอบสนองทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในยุคดิจิทัลไลฟ์ได้เป็นอย่าง ดี ด้วยการผสานรวมกับเครือข่ายคุณภาพของเอไอเอส และสิทธิพิเศษมากมาย ประกอบด้วย
- แพ็กเกจดาต้าสุดคุ้ม สำหรับลูกค้าเอไอเอส 3G รายเดือนปัจจุบัน เล่นเน็ตไม่อั้น นาน 12 เดือน เริ่มต้นเพียง 350 บาท / เดือน
- สิทธิพิเศษผ่อน 0% นาน 10 เดือน (สำหรับการซื้อเครื่องพร้อมแพ็กเกจ)
รวมทั้งการให้บริการที่ดีเยี่ยมของ Customer Service และสมาร์ทโฟน กูรู ที่ช่องทางการจัดจำหน่ายทั่วประเทศ ที่พร้อมมอบบริการให้ลูกค้าอย่างอุ่นใจ”
สำหรับ iPad Air 2 ถือเป็นแท็บเล็ตที่บางที่สุดในโลก ด้วยน้ำหนักเพียง 437 กรัม ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบายตลอดทั้งวัน โดยมาพร้อมนวัตกรรมอันน่าทึ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอเรติน่าใหม่ที่ช่วยลดแสงสะท้อน, กล้องแบบ iSight และกล้องด้านหน้า FaceTime HD ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่สำหรับการถ่ายภาพและวิดิโอคุณภาพเยี่ยม, ชิพประมวลผล A8X ยุคที่ 2 แบบ 64 บิต ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลกลางและการประมวลผลกราฟฟิค, การเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม พร้อมรองรับเทคโนโลยีไร้สาย LTE และ Touch ID ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ นอกจากนี้ ยังสามารถรองรับการใช้งานแอพพลิเคชั่นที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะมากถึง 675,000 แอพฯ โดยมีอายุการใช้งานของแบตเตอรี่นานกว่า 10 ชั่วโมง โดย iPad Air 2 และ iPad mini 3 ที่มาพร้อมนวัตกรรม Touch ID นี้ มีให้เลือกได้ถึง 3 สีสุดหรูหรา ได้แก่ สีทอง, สีเงิน และสีสเปซเกรย์
ลูกค้าสามารถซื้อ iPad Air 2 รุ่นที่รองรับ Wi-Fi + Cellular และ iPad mini 3 รุ่นที่รองรับ Wi-Fi + Cellular ได้ที่เอไอเอส ช็อปทั่วประเทศ และร้านเทเลวิซที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาและแพ็กเกจ iPad จากเอไอเอสได้ที่ www.ais.co.th/iPad-Air หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ iPad ได้ที่ www.apple.com/ipad
- ลดขนาดความบางของตัวเครื่องเหลือแค่ 6.1 มม. จากเดิมที่ iPad Air รุ่นแรกบาง 7.5 มม. (ลดลง 18%) และ iPad รุ่นแรกสุดบาง 13.4 มม.
- Full Lamination ไม่มีช่องว่างระหว่างหน้าจอแสดงผล LCD, กระจก และแผงรับสัมผัส ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดบางกว่าเดิม
- กระจกหน้าจอส่วนบนสุดมีการเคลือบ anti-reflective coating ช่วยลดแสงสะท้อน 56%
- เป็นแท็บเล็ตตัวแรกของ Apple ที่มี Touch ID หรือเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ สามารถใช้ร่วมกับการจ่ายเงินผ่าน Apple Pay ได้ (Apple Pay ตอนนี้ใช้ได้เฉพาะที่สหรัฐ)
- กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ตัวใหม่ขนาดพิกเซล 1.12 ไมครอน, รูรับแสง f/2.4, บันทึดวีดีโอ 1080p, วีดีโอ Slow Motion, ภาพพาโนราม่า, ถ่ายภาพต่อเนื่อง (Burst Mode), Time Lapse Mode
- กล้องหน้าใช้เซ็นเซอร์ใหม่ด้วยโดยจะมีรูรับแสงกว้างกว่าเดิมอยู่ที่ f/2.2
- iPad Air 2 จะใช้ชิปประมวลผล Apple A8X เป็นชิป 64-bit รุ่นที่สอง 2nd-gen
- เร็วกว่า iPad Air รุ่นแรก 40% (iPad Air รุ่นแรกใช้ชิป Apple A7)
- มีหน่วยประมวลผล M8 Motion Coprocessor สำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหวต่างๆ
- iPad Air 2 จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 8.1
เพิ่มสีทอง
- เพิ่มเวอร์ชั่นสีทองเข้ามา สรุปตอนนี้จะมี สีทอง, สีเงิน, สีเทา
- Apple มีการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่เรียกว่า Apple SIM คือ ปกติแล้วเวลาเราต้องการจะใช้เน็ตของค่ายไหนก็ต้องใช้ซิมของค่ายนั้น ถ้าจะเปลี่ยนไปใช้ค่ายอื่นก็ต้องสลับซิม แต่สำหรับ Apple SIM นี้คือใช้ซิมเดียวเลยไม่ต้องเปลี่ยนไปมา เวลาจะใช้เน็ตของค่ายอื่นก็เข้าไปในเมนูตั้งค่าดังรูปเพื่อเลือกเปลี่ยนผู้ให้บริการ
- WiFi 16GB - $499
- WiFi 64GB - $599
- WiFi 128GB - $699
- WiFi + Cellular 16GB - $629
- WiFi + Cellular 64GB - $729
- WiFi + Cellular 128GB - $829
- รายชื่อประเทศที่จะวางขายสัปดาห์หน้า US, Australia, Austria, Belgium, Bulgaria, Canada, China (Wi-Fi models only), Czech Republic, Denmark, Finland, France, Germany, Hong Kong, Iceland, Ireland, Italy, Japan, Liechtenstein, Luxembourg, Macau (Wi-Fi models only), Netherlands, New Zealand, Norway, Poland, Portugal, Romania, Singapore, Slovakia, Spain, Sweden, Switzerland and the UK
- ต่อด้วย Croatia, Greece, Puerto Rico, Russia, Turkey, United Arab Emirates ปลายเดือนตุลาคม
- หน้าจอ 9.7 นิ้ว IPS ความละเอียด 2048 x 1536 (264 ppi) เทคโนโลยี Fully laminated display + Antireflective coating
- ขนาดตัวเครื่อง 240 x 169.5 มม. บาง 6.1 มม.
- น้ำหนักรุ่น WiFi 437 กรัม รุ่น WiFi + Cellular 444 กรัม
- ชิป Apple A8X และ M8 motion coprocessor
- มี Touch ID
- กล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล iSight รูรับแสง f/2.4 + ออโฟกัส + Burst mode + บันทึกวีดีโอ Slo-mo
- รองรับ WiFi 802.11a/b/g/n/ac dual channel (2.4GHz & 5GHz) MIMO
- Bluetooth 4.0
- ใช้ Nano-SIM
- ช่องเสียบ Lightning
- ระยะเวลาใช้งานเล่นเว็บผ่าน WiFi 10 ชั่วโมง
- มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 8.1
- มี 3 สี ทอง, เงิน, เทา